การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลัง
ที่มาและความสำคัญของปัญหา
มันสำปะหลังเป็นพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างยิ่งของประเทศไทย เนื่องจากมันสำปะหลังสามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทั้งของมนุษย์และสัตว์ เช่น แอลกอฮอล์ กรดมะนาว สารความหวาน ผงชูรส แป้งมัน มันเส้น มันอัดเม็ด ฯลฯอุตสาหกรรมสิ่งทอ กระดาษ ไม้อัด วัสดุย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และที่กำลังมีบทบาทอย่างมากคือ การผลิตแก๊สโซฮอล์ (เอทานอล) เพื่อผลิตพลังงานทดแทนน้ำมันปิโตเลียม ซึ่งนับวันจะมีแต่ราคาสูงขึ้นและก่อให้เกิดวิกฤตด้านพลังงานไปทั่วโลกอย่างในยุคปัจจุบัน
ประเทศไทยมีความได้เปรียบในด้านทรัพยากร สามารถผลิตพืชผลทางการเกษตรได้ดี มันสำปะหลังเป็นอีกพืชหนึ่งที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก นอกจากนี้สายพันธุ์มันสำปะหลังในประเทศไทยยังได้รับการยกย่องกันอย่างกว้างขวางในกลุ่มประเทศผู้ผลิตมันสำปะหลังของโลกว่าเป็นหนึ่งด้านสายพันธุ์มันสำปะหลังที่ให้ผลผลิตมากที่สุด ได้แก่ พันธุ์ห้วยบง 60 แต่เมื่อพิจารณาผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่แล้วจะพบว่ามีผลผลิตที่ค่อนข้างต่ำ ถึงต่ำมาก โดยมากจะต่ำกว่า 5 ตันต่อไร่ ทั้งนี้เนื่องจากเกษตรกรยังขาดความรู้เกี่ยวกับเทคนิค วิธีการในการเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังที่ถูกต้องเหมาะสม และต้นทุนการผลิตต่อไร่ต่ำแต่ได้ผลลิตคุ้มค่าแก่การลงทุนอีกด้วย
แหล่งที่มาขององค์ความรู้
1. จากการศึกษาดูงาน เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิตมันสำปะหลัง ณ สถาบันพัฒนามันสำปะหลังอำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา และ องค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี(มันสำปะหลัง 30 ตัน)
2. จากการศึกษาดูงาน เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลัง (มันสำปะหลัง 5 ตัน) ณ
อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา
3. จากการสัมภาษณ์เกษตรกรที่ประสบความสำเร็จในการผลิตมันสำปะหลังในอำเภอไทรโยค
จังหวัดกาญจนบุรี ด้านการเพิ่มผลผลิต (มันสำปะหลัง 12 ตัน) และลดต้นทุนในการผลิต (การปลูก
พืชแซมในแปลงมันสำปะหลัง)
4. การค้นคว้าเอกสารทางวิชาการ สิ่งพิมพ์ เอกสารเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
เทคนิค วิธีการที่เกี่ยวข้อง สามารถสรุปในด้านต่างๆ ได้ดังนี้
1. การเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังต่อไร่โดยปรับปรุงวิธีการปลูก ได้แก่
1.1 การเตรียมดินก่อนปลูก
1.1.1 ควรใส่ปุ๋ยคอกรองพื้นประมาณ 1 ตัน (1,000 กิโลกรัม) ต่อไร่ เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์
ดิน และปรับความเป็นกรดเป็นด่างของดิน
1.1.2 ไถผาล 3 และยกร่อง หรือ ทำการไถระเบิดดินดานก่อนยกร่อง ซึ่งจะช่วยให้มันสำปะหลัง
ลงหัวได้ดีขึ้น ควรทำในพื้นที่ที่มีการปลูกมันสำปะหลังติดต่อกันเป็นเวลานาน การไถดินดาน 1 ครั้งจะช่วยปรับโครงสร้างดินได้ประมาณ 3 – 5 ปี
1.1.3 การยกร่อง ควรยกร่องให้กว้าง ประมาณ 1.2 เมตร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเจริญเติบโตของรากมัน และกรีดร่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการได้รับปุ๋ยและน้ำของต้นมันในทุกต้นให้มีการเจริญเติบโตสม่ำเสมอกันทั้งแปลง แม้ในพื้นที่ลาดเท ไม่ราบเสมอกัน
1.2 การเตรียมท่อนพันธุ์
1.2.1 การคัดเลือกท่อนพันธุ์ อายุของท่อนพันธุ์ ที่เหมาะสม คือ ตั้งแต่ 8 -12 เดือน ควรมีข้อตาถี่
แสดงถึงลักษณะการให้จำนวนหัวที่มาก และเป็นส่วนของลำต้นไม่ใช่กิ่งแขนง
1.2.2 การตัดท่อนพันธุ์
- ควรทำการตัดตรง เนื่องจากต้นมันสำปะหลังจะสามารถเจริญเป็นส่วนของหัวมันได้ทันที
และมีรัศมีโดยรอบท่อนพันธุ์ แต่หากตัดท่อนพันเฉียง ต้นมันสำปะหลังจะต้องสร้างเนื้อเยื่อเพื่อเชื่อมต่อให้มีเนื้อที่เพียงพอในการเจริญเป็นส่วนของหัวมันก่อน และการเจริญของหัวมันจะมีเพียงด้านเดียวเท่านั้น
- วิธีการตัดสามารถทำได้โดย การใช้เครื่องตัดหญ้าและใบเลื่อยวงเดือน เลื่อยคันธนู ตัดท่อน
พันธุ์ที่มัดรวมกันประมาณ 20 ท่อนเพื่อสะดวกในการขนย้ายไปแปลงปลูกต่อไป หรือใช้มีดคมสับตรงๆ ทีละท่อนได้
- ควรเลือกใช้ส่วนกลางของต้นทำท่อนพันธุ์ โดยการตัดส่วนปลายและส่วนโคนทิ้ง ประมาณ
ด้านละ 10 เซนติเมตรตัดทิ้งไว้ประมาณ 7 วันก่อนปลูกแต่ไม่เกิน 30 วัน
1.2.3 ความยาวของท่อนพันธุ์ ขึ้นอยู่กับช่วงการปลูก หากปลูกในช่วงต้นฤดูฝน ควรตัดท่อน
พันธุ์ยาว 15 – 20 เซนติเมตร หากปลูกในช่วงปลายฤดูฝน ควรตัดท่อนพันธุ์ยาว 25 – 30 เซนติเมตร ทั้งนี้ความยาวของท่อนพันธุ์มีส่วนช่วยในการชะลอการคายน้ำของท่อนพันธุ์
1.2.4 การเพิ่มสารอาหารให้แก่ท่อนพันธุ์โดยการ
- แช่น้ำสกัดมูลสุกร โดยอัตราส่วนมูลสุกร เลือกใช้มูลสุกรจากฟาร์มที่ไม่มีการล้างโซดาไฟ 1
ส่วน ต่อ น้ำ 10 ส่วน ทิ้งไว้ 1 คืน นำน้ำสกัดมาเจือจากด้วยน้ำสะอาด ในอัตราส่วน 1 ต่อ 10
แช่ท่อนพันธุ์ส่วนโคนทิ้งไว้ 1 คืนก่อนนำไปปลูก
- แช่ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ (ปุ๋ยน้ำ พด.) ทิ้งไว้ 1 คืน โดยอัตราส่วนน้ำหมัก 1 ส่วน ต่อน้ำ 20 ส่วน
- แช่น้ำยาเร่งรากที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไป
- อาจผสมธาตุสังกะสีลงไปด้วย เช่น ซิงค์เมท เป็นต้น เพื่อเพิ่มธาตุสังกะสีซึ่งเป็นธาตุอาหาร
รองที่จำเป็นสำหรับมันสำปะหลังด้วย
- จากนั้นป้ายปูนกินหมากบริเวณส่วนปลายเพื่อป้องกันเชื้อรา และลดการระเหยของน้ำใน
ท่อนพันธุ์ นอกจากนี้ยังช่วยในการสังเกตส่วนโคนหรือส่วนปลายในระหว่างการปลูกด้วย
- การปักท่อนพันธุ์เฉียง หรือตรง ขึ้นอยู่กับสภาพของพื้นดิน
1.3 การปลูก
- ระยะปลูก ประมาณ 80 ซม. × 120 ซม. หรือ 100 ซม. × 100 ซม. เพื่อให้ส่วนหัวเจริญเติบโตได้
อย่างเต็มที่ ไม่ชะงัก
1.4 การกำจัดวัชพืช ควรมีการกำจัดวัชพืช หรือ ทำรุ่นมันสำปะหลังโดยเฉลี่ยประมาณ 2 ครั้ง ดังนี้
- ฉีดพ่นยาคุมหญ้าทันทีหลังปลูก สามารถช่วยควบคุมวัชพืชได้ประมาณ 3 – 4 เดือน วิธีการนี้จะ
ทำให้ไม่ต้องฉีดพ่นยาฆ่าหญ้าในช่วงมันสำปะหลัง 1 – 2 เดือนแรกซึ่งมันมีความอ่อนแออย่าง
มาก กำจัดวัชพืชโดยการใช้แรงงานคนในการถากหญ้าระหว่างโคนต้นได้ง่าย ต้นมันสำปะหลัง
ไม่ชะงักการเจริญเติบโต เป็นการลดการใช้สารเคมีอีกด้วย
- ไม่ควรใช้สารกำจัดวัชพืชพวกกรัมม๊อกโซน หรือตระกูลพาราควอทกับมันสำปะหลังในช่วง
1 – 2 เดือนแรก เพราะจะทำให้ต้นมันสำปะหลังตาย หรือชะงักการเจริญเติบโต หากต้องการใช้
ควรถากหญ้าลงมาบริเวณกลางร่องแล้วฉีดพ่นกรัมม๊อกโซน โดยฉีดในระดับต่ำๆ หรืออาจใช้
ไกลโฟเสตฉีดพ่นแทนได้
- การปลูกพืชแซมในไร่มันสำปะหลัง เช่น ข้าวโพด สามารถช่วยลดการกำจัดวัชพืชในแปลงมัน
สำปะหลังได้ และเป็นการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วย โดยทำการปลูก
ข้าวโพดหลังปลูกมันสำปะหลังทันที ข้าวโพดจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ภายในระยะเวลา 3 เดือน
1.5 การให้ปุ๋ย
- ให้ปุ๋ยสูตร 15 – 15 – 15 ในระยะ 1 – 2 เดือนแรก เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของลำต้น
- ฉีดพ่นน้ำสกัดมูลสุกร หรือปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพอื่นๆ ประมาณ 2 – 4 ครั้ง เมื่อมันสำปะหลังอายุ
1 เดือน และเดือนละ 1 ครั้งในเดือนต่อๆ ไป
- ให้ปุ๋ยสูตร 15 – 7 – 18 หรือ สูตร 13 – 13 – 21 เพื่อบำรุงการเจริญเติบโตส่วนหัว
- ให้ปุ๋ยสูตร 0 – 0 – 60 เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของหัวมันสำปะหลัง โดยใส่ก่อนหมดฤดูฝน
ประมาณ 2 เดือน (ต้องมีความชื้น)
1.6 อายุการเก็บเกี่ยว ควรเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังเมื่อมีอายุ 10 เดือนขึ้นไป เพราะจะทำให้หัวมัน
สำปะหลังเจริญเติบโตเต็มที่ และน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเปรียบเทียบระหว่างมันสำปะหลัง
อายุ 8 เดือน กับ อายุ 10 เดือน
1.7 การปรับปรุงบำรุงดินหลังการเก็บเกี่ยว
- ปุ๋ยพืชสด โดยการปลูกถั่วพร้า หรือ ปอเทือง อัตราส่วน 5 – 10 กิโลกรัมต่อไร่ และไถกลบเมื่อ
ออกดอก ประมาณ 45 – 55 วัน ทิ้งให้ย่อยสลาย ประมาณ 15 วัน จากนั้นทำการปลูกพืชได้
- ไถกลบต้นมันสำปะหลังที่ทิ้งในแปลงเพื่อเป็นปุ๋ยพืชสด
- ไถ พลิกดิน และตากหน้าดินเพื่อกำจัดเชื้อราโรคพืชในดิน ประมาณ 15 วันก่อนทำการเตรียมดิน
2. การเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังต่อไร่โดยการปาดตา (การทำมันฯ คอนโด)
เป็นการเพิ่มพื้นที่ในการเกิดหัวของมันสำปะหลัง โดยหัวมันจะเกิดเป็นชั้นๆ ตามการปาดตานั่นเอง
สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกในการทำมันฯ คอนโด คือ ความชื้น หากอยู่ในสภาพพื้นที่ที่อาศัยน้ำฝน
และไม่สามารถจัดการระบบน้ำได้ ไม่เหมาะสมที่จะทำมันฯ คอนโด เนื่องจาก เนื้อเยื่อจะแห้งและไม่สามารถ
เจริญเติบโตเป็นหัวมันสำปะหลังต่อไปได้ ดังนั้น การตัดท่อนพันธุ์ให้ตรงจึงมีความเหมาะสมมากกว่า
2.1 ปาดตาท่อนพันธุ์มันสำปะหลังประมาณ 5 – 9 ตา ขึ้นอยู่กับความยาวของท่อนพันธุ์ และปักท่อนพันธุ์
ลึกจากระดับผิวดินอย่างน้อย 10 เซนติเมตร ในลักษณะตั้งตรง
2.2 ให้น้ำโดยระบบน้ำหยด หรือ สปริงเกอร์ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นในดิน ประมาณสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือ
เมื่อฝนทิ้งช่วงนานกว่า 1 เดือน
2.3 การทำมันฯ คอนโด สามารถเพิ่มผลผลิตได้ประมาณ 2 – 3 เท่าตัว
3. การคัดเลือกพันธุ์มันสำปะหลังโดยพิจารณาจากความเหมาะสมกับสภาพดินในเขตอำเภอไทรโยค
3.1 สภาพดินร่วนปนเหนียว พันธุ์ที่เหมาะสม ได้แก่ ระยอง 7 ระยอง 72 ระยอง 5 เกษตรศาสตร์ 50
3.2 สภาพดินทราย หรือ ดินร่วนปนทราย ได้แก่ ระยอง 5 ห้วยบง 60
หลักการที่สำคัญ
1. เน้นการปรับปรุงบำรุงดิน
2. ตัดท่อนพันธุ์ตรงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเกิดหัวมันสำปะหลัง
3. กำจัดวัชพืชอย่างเหมาะสม โดยเน้นใช้แรงงานคนในการถากหญ้าเป็นหลัก
4. เน้นวิธีการปลูกเพื่อเพิ่มผลผลิต ไม่เน้นเพิ่มพื้นที่ปลูกเพื่อเพิ่มผลผลิต
5. ปลูกพืชแซมในร่องมันสำปะหลัง เพื่อใช้ประโยชน์จากพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
เพิ่มผลผลิต “มันสำปะหลัง พันธุ์ห้วยบง 60” จาก 4 ตัน เป็น 19 ตันต่อไร่
จากสภาวะปัญหาราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมทุกประเภทรวมทั้งภาคเกษตรกรรม เนื่องจากน้ำมันเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่บ่งชี้ถึงต้นทุนการผลิต ภาครัฐจึงเร่งหาทางแก้ไขปัญหา ซึ่งแนวทางหนึ่งคือการส่งเสริมการปลูกพืชพลังงานทดแทนเพื่อผลิตเป็นไบโอดีเซลและเอทานอลใช้เองภายในประเทศ ลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ โดยพืชที่สามารถเป็นพืชพลังงาน
ได้แก่ ปาล์มน้ำมัน อ้อย และมันสำปะหลัง ดังนั้น การเพิ่มพื้นที่ปลูกพืชเหล่านี้ รวมทั้งเพิ่มผลผลิตให้ได้มากขึ้นจากเดิมเพื่อนำมาสกัดเป็นพลังงานทดแทนน้ำมันจึงเป็นสิ่งจำเป็น
จากกรณีที่ใช้ภูมิปัญญาในการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาช่วยเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังได้มากขึ้นจากเดิมเกือบ 5 เท่า ถือว่าเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ เพราะปกติสถิติของผลผลิตมันสำปะหลังสูงสุดจะได้ไม่เกิน 8 ตัน/ไร่
ได้แก่ ปาล์มน้ำมัน อ้อย และมันสำปะหลัง ดังนั้น การเพิ่มพื้นที่ปลูกพืชเหล่านี้ รวมทั้งเพิ่มผลผลิตให้ได้มากขึ้นจากเดิมเพื่อนำมาสกัดเป็นพลังงานทดแทนน้ำมันจึงเป็นสิ่งจำเป็น
และในวันนี้สามารถนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอย่าง “ขี้เห็ด” ร่วมกับสารเร่งพด. 1 และ 2 เป็นตัวเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังหนึ่งในพืชพลังงานทดแทนได้เป็นผลสำเร็จ จากเดิมที่เคยได้ผลผลิตมันสำปะหลังเพียง 4 ตันต่อไร่ เพิ่มขึ้นเป็น 19 ตันต่อไร่
การบำรุงรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน
การบำรุงรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน
ภายหลังจากการขุดเก็บเกี่ยวเป็นประจำทุกปี
5) ใส่ปุ๋ยอินทรีย์น้ำซุปเปอร์พด.2 ซึ่งเกิดจากการหมักผัก
ผลไม้ปลา หรือหอยเชอรี่โดยใช้สารเร่งซุปเปอร์พด.2
ของกรมพัฒนาที่ดิน
6) ใส่ปุ๋ยคอกอัตรา 1-2 ตันต่อไร่ หว่านให้ทั่วแปลง
หรือหว่านปุ๋ยมูลไก่ที่ย่อยสลายดีแล้ว
7) มีมาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่ลาดเท
มีปัญหาการชะล้างพังทลายของดินมากปลูกหญ้าแฝก
เป็นแถวขวางความลาดเทตามแนวระดับระหว่างแถว
มันสำปะหลัง
มันสำปะหลัง เป็นพืชที่ปลูกง่าย ชอบแสงแดดจัด
ควรเลือกใช้พันธุ์ที่ให้ผลผลิตหัวสดและเปอร์เซ็นต์
แป้งสูง ได้แก่หวยบง เกษตรศาสตร 50 ต้นพันธุ์ที่ใช้ปลูกอายุ8-
12 เดือน เป็นต้นพันธุ์ที่เก็บไว้ไม่เกิน 15 วัน ตัดท่อนพันธุ์ยาว
20-25 เซนติเมตร มีจำนวนตา 5-10 ตาต่อท่อนพันธุ์โดยสับจาก
ส่วนกลางของลำต้น
วิธีปลูกแบบปักตรง ตาจะงอกได้เร็วกว่า ปักท่อนพันธุ์ให้ลึก 10
เซนติเมตร หรือครึ่งหนึ่งของความยาวท่อนพันธุ์ระยะปลูก
มาตรฐานที่แนะนำกับมันสำปะหลังทุกพันธุ์และทุกสภาพดินคือ
1.0x1.0 เมตร
1) การไถกลบปุ๋ยพืชสดบำรุงดิน โดยหว่านเมล็ดพืชปุ๋ยสด
ได้แก่ ปอเทือง 5 กก.ต่อไร่ไถกลบเมื่อพืชปุ๋ยสดออกดอก
หรือเมื่อดอกบานเต็มที่หรือเมื่ออายุ45-60 วัน ควรไถกลบ
พืชปุ๋ยสดก่อนปลูกมันสำปะหลังเป็นประจำทุกปี
2) ปลูกพืชปุ๋ยสดตระกูลถั่วหมุนเวียน โดยปลูกปอเทืองหรือถั่วพุ่ม
อัตรา 3-5 กิโลกรัมต่อไร่หรือถั่วพร้าอัตรา 10 กิโลกรัมต่อไร่
3) ปลูกพืชปุ๋ยสดตระกูลถั่วเป็นพืชแซมโดยปลูกพืชปุ๋ยสดตระกูล
ถั่วแซมในระหว่างกลางแถวมันสำปะหลังที่ปลูกระยะห่าง
80-100 ซม.
โดยปลูกหลังจากปลูกมันสำปะหลังราว 30 วัน เมื่อพืชแซม
เจริญเติบโตเต็มที่อายุ45-60 วัน หรือหลังจากเก็บเกี่ยว
เมล็ดพันธุ์แล้ว
4) ไถกลบต้นและเศษใบมันสำปะหลังลงดินได้แก่ ปอเทือง 5 กก.ต่อไร่ไถกลบเมื่อพืชปุ๋ยสดออกดอก
หรือเมื่อดอกบานเต็มที่หรือเมื่ออายุ45-60 วัน ควรไถกลบ
พืชปุ๋ยสดก่อนปลูกมันสำปะหลังเป็นประจำทุกปี
2) ปลูกพืชปุ๋ยสดตระกูลถั่วหมุนเวียน โดยปลูกปอเทืองหรือถั่วพุ่ม
อัตรา 3-5 กิโลกรัมต่อไร่หรือถั่วพร้าอัตรา 10 กิโลกรัมต่อไร่
3) ปลูกพืชปุ๋ยสดตระกูลถั่วเป็นพืชแซมโดยปลูกพืชปุ๋ยสดตระกูล
ถั่วแซมในระหว่างกลางแถวมันสำปะหลังที่ปลูกระยะห่าง
80-100 ซม.
โดยปลูกหลังจากปลูกมันสำปะหลังราว 30 วัน เมื่อพืชแซม
เจริญเติบโตเต็มที่อายุ45-60 วัน หรือหลังจากเก็บเกี่ยว
เมล็ดพันธุ์แล้ว
ภายหลังจากการขุดเก็บเกี่ยวเป็นประจำทุกปี
5) ใส่ปุ๋ยอินทรีย์น้ำซุปเปอร์พด.2 ซึ่งเกิดจากการหมักผัก
ผลไม้ปลา หรือหอยเชอรี่โดยใช้สารเร่งซุปเปอร์พด.2
ของกรมพัฒนาที่ดิน
6) ใส่ปุ๋ยคอกอัตรา 1-2 ตันต่อไร่ หว่านให้ทั่วแปลง
หรือหว่านปุ๋ยมูลไก่ที่ย่อยสลายดีแล้ว
7) มีมาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่ลาดเท
มีปัญหาการชะล้างพังทลายของดินมากปลูกหญ้าแฝก
เป็นแถวขวางความลาดเทตามแนวระดับระหว่างแถว
มันสำปะหลัง
มันสำปะหลัง เป็นพืชที่ปลูกง่าย ชอบแสงแดดจัด
ควรเลือกใช้พันธุ์ที่ให้ผลผลิตหัวสดและเปอร์เซ็นต์
แป้งสูง ได้แก่หวยบง เกษตรศาสตร 50 ต้นพันธุ์ที่ใช้ปลูกอายุ8-
12 เดือน เป็นต้นพันธุ์ที่เก็บไว้ไม่เกิน 15 วัน ตัดท่อนพันธุ์ยาว
20-25 เซนติเมตร มีจำนวนตา 5-10 ตาต่อท่อนพันธุ์โดยสับจาก
ส่วนกลางของลำต้น
วิธีปลูกแบบปักตรง ตาจะงอกได้เร็วกว่า ปักท่อนพันธุ์ให้ลึก 10
เซนติเมตร หรือครึ่งหนึ่งของความยาวท่อนพันธุ์ระยะปลูก
มาตรฐานที่แนะนำกับมันสำปะหลังทุกพันธุ์และทุกสภาพดินคือ
1.0x1.0 เมตร
วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
การจัดการดินเพื่อเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลัง
ลักษณะดินและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
มันสำปะหลังเป็นพืชหัว ผลผลิตที่ใช้ประโยชน์คือ รากที่ใช้สะสมอาหาร เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย สภาพดินไม่มีนำ้ขัง มีการระบายอากาศดี มีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (ph) ระหว่าง 5.5 - 8.0 มีความต้องการธาตุไนโตรเจน 10 - 20 กิโลกรัมต่อไร่ ฟอสฟอรัส 6 - 10 กิโลกรัมต่อไร่ และโพแทสเซียม 8 - 12 กิโลกรัมต่อไร่ มีอุณหภูมิระหว่าง 10 - 30 องศาเซลเซียส ปริมาณนำ้ฝน 500 - 2,500 มิลลิเมตรต่อปี
พันธุ์มันสำปะหลัง
พันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่ พันธุ์ระยอง 1 พันธุ์ระยอง 60 พันธุ์ระยอง 90 พันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 อายุการเก็บเกี่ยวอยู่ระหว่าง 10-12 เดือน โดยใช้ระยะปลูกดังนี้
- พันธุ์ระยอง 1 ระยะปลูก 100 X 100 เซนติเมตร
- พันธุ์ระยอง 60 ระยะปลูก 60 X 100 เซนติเมตร
- พันธุ์ระยอง 90 ระยะปลูก 80 X 100 เซนติเมตร
- พันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 ระยะปลูก 80 X 100 เซนติเมตร
การเตรียมดิน
ทำการไถกลบและพรวนอย่างน้อย 2-3 ครั้ง ลึกประมาณ 20-30 เซนติเมตร เพื่อกลบซากพืชในฤดูก่อน และทำลายวัชพืชต่างๆ ให้ลดจำนวนลง ถ้าพื้นที่มีความลาดชันต้องไถพรวนตามแนวขวาง เพื่อป้องกันการชะล้างของดิน และถ้าดินระบายนำ้ไม่ดี ต้องยกร่องปลูก และทำการปลูกพืชปุ๋ยสดเพื่อปรับปรุงบำรุงดินและตัดวงจรการระบาดของโรค ปุ๋ยพืชสดที่นิยมใช้คือ ถั่วพร้า ในอัตรา 10 กิโลกรัมต่อไร่ หว่านหรือโรยเป็นแนวก่อนปลูกมะนสำปะหลัง แล้วทำการไถกลบเมื่ออายุตรบ 50 วันซึ่งเป็นระยะช่วงที่ออกดอก และปล่อยให้ย่อยสลาย 15 วัน จึงเตรียมแปลงปลูกมันสำปะหลัง หรือใช้ถั่วพุ่ม อัตรา 8 กิโลกรัมต่อไร่ และทำการไถกลบเมื่ออายุ 40 วัน โดยทำวิธีการเดียวกับถั่วพร้า ในขณะเตรียมดินในการปลูกมันสำปะหลัง ให้ฉีดพ่นสารอินทรีย์นำ้ที่ผลิตจากสารเร่ง พด.2 ในอัตรา 5 ลิตรต่อไร่ และนำมาเจือจาง 1:500 และก่อนปลูกมันสำปะหลัง ให้ใส่เชื้อจุลินทรีย์ควบคุมเชื้อสาเหตุโรคพืชระหว่างแถวที่จะปลูกในอัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อป้องกันโรคเน่าและลำต้นเน่าในมันสำปะหลัง
การปลูกมันสำปะหลัง
โดยคัดเลือกต้นพันธุ์มันสำปะหลังที่สมบูรณ์มีอายุแก่ตั้งแต่ 8 เดือนขึ้นไป ตัดลำต้นเป็นท่อนความยาว 15-20 เซนติเมตร แล้วนำไปแช่ในปุ๋ยอินทรีย์น้ำที่เจือจางด้วยน้ำในอัตราส่วน 1:500 หรือ 1:1,000 เป็นเวลา 24 ชั่วโมง แล้วปลูกในพื้นที่ที่เตรียมไว้ โดยนำท่อนพันธุ์ที่เตรียมไว้ปักลงในดินลึกประมาณ 2/3 ของท่อนพันธุ์ ควรระวังอย่าปักส่วนยอดลงดินเพราะตาจะไม่งอก ควรปักตรง 90 องศา หรือปักเฉียง 45 องศา กับพื้นดินให้ผลผลิตไม่แตกต่างกันแแต่จะสะดวกในการกำจัดวัชพืช ง่ายแก่การเก็บเกี่ยว และให้ผลผลิตสูงกว่าการปลูกฝัง 10-15 เปอร์เซ็นต์
การปลูกพืชแซม
หลังจากปลูกมันสำปะหลังได้ 15 วัน ให้ทำการปลูกพืชปุ๋ยสด เช่น ถั่วพุ่ม ถั่วพร้า โรยเป็นแถวแทรกระหว่างแถวมันสำปะหลังเพื่อป้องกันวัชพืช เมื่อพืชปุ๋ยสดอายุตรบ 50 วัน ให้ทำการตัดแล้วนำมาคลุมดินเพื่อรักษาความชื้นของดินและเพิ่มอินทรีย์วัตถุในดิน
ในกรณีพื้นที่ลาดชันหรือมีการชะล้างพังทะลายของดินควรปลูกแฝกเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ โดยปลูกในช่วงฤดูฝน ควรปลูกตามแนวในระดับขวางความลาดเทของพื้นที่ภายหลังจากที่ไถเตรียมดินแล้ว โดยขุดหลุมในร่องที่ไถไว้สำหรับเป็นแนวระดับยาวตามพื้นที่ให้แต่ละต้นห่างกัน 5 เซนติเมตร แฝกแนวต่อไปก็จะปลูกขนานกันกับแนวแรก โดยมีระยะห่างขึ้นกับความลาดชันของพื้นที่ เช่น ตามระยะตามแนวดิ่ง คือ 2 เมตร แนวรั้วหญ้าแฝก ณ ความลาดเอียง 5 10 และ 15 เปอร์เซ็นต์ จะอยู่ห่างกัน 40 เมตร 15 เมตร และ 10 เมตร ตามลำดับ ควรระมัดระวังในการไถเตรียมดิน โดยให้รักษาแแนวแฝกไว้ นอกจากนี้ควรตัดใบแฝกอยู่ระดับ 30-50 เซนติเมตร และปลูกแฝกซ่อมแซมให้หนาแน่น แนวรั้วแฝกที่หนาแน่นจะช่วยชะลอ และกระจายน้ำไหลบ่าเพิ่มการแทรกซึมลงสู่ผิวดินรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน
การดูแลรักษา
ทำการฉีดพ่นปุ๋ยอินทรีย์น้ำให้พืชปุ๋ยสด ในทุก 7 วัน อัตรา 2 ลิตรต่อไร่ เจือจาง 1: 1,000 เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของพืชปุ๋ยสด และหลังจากปลูกมันสำปะหลัง 15 วัน ให้ฉีดพ่นปุ๋ยอินทรีย์น้ำให้มันสำปะหลังทางใบและลำต้นหรือรดลงดิน ทุก 1 เดือนจนถึงระยะเก็บเกี่ยว กรณีที่ปลูกพืชแซมระหว่างที่ให้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำให้กับมันสำปะหลัง ควรฉีดพ่นปุ๋ยอินทรีย์น้ำให้กับพืชตระกูลถั่วที่ปลูกแซมระหว่างแถวมันสำปะหลังด้วย หากเกิดการระบาดของโรคใบจุดสีน้ำตาล โรคใบจุดใหม้ ใบจุดขาว หรือแมลงต่าง ๆ เป็นต้น ให้ใช้สารสกัดธรรมชาติหรือสารป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ส่วนการกำจัดวัชพืชในช่วง 2-3 เดือนแรก สามารถกำจัดได้โดยวิธีกล
การจัดการดินหลังการเก็บเกี่ยว
หลังการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง ต้องตัดเหง้าและต้นออกแและรีบส่งหัวมันสดเข้าโรงงานทันที ส่วนลำต้นเก็บเอาไว้ทำพันธุ์ต่อไป ส่วนกิ่ง ก้าน ใบ และส่วนที่เป้นตอซัง ให้ไถกลบลงดินทุกครั้งหลังการเก็บเกี่ยว เป็นการเพิ่มอินทรีย์วัตถุให้กับดิน และทำการปรับปรุงบำรุงดิน โดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ปุ๋ยพืชสด และใส่เชื้อจุลินทรีย์ป้องกันสาเหตุโรคพืช การใช้ปุ๋ยอินทรีย์์ตามคำแนะนำ จะสามารถช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ หรือสามารถเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับวิธีการปฏิบัติเดิมของเกษตรกรได้ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)