เรื่องเทคโนโลยี |
1. MIS คืออะไร 2. ประโยชน์จากการประยุกต์ใช้ MIS ในอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง 3. มาตรฐาน% แป้งในกากของมันสำปะหลัง | ||

ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System: MIS) คือ ระบบหรือกระบวนการ ที่ใช้ในการจัดการ รวบรวม วิเคราะห์ และนำเสนอข้อมูล เพื่อช่วยในการตัดสินใจ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ ซึ่งข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตัดสินใจทางธุรกิจ ดังนั้น ระบบ สารสนเทศจึงเป็นกุญแจสำคัญในการใช้ประโยชน์ข้อมูลสำหรับการดำเนินธุรกิจ ระบบสารสนเทศเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินและติดตามการเปลี่ยนแปลงของ สถานภาพทางธุรกิจ และใช้ในการเปรียบเทียบหรือระบุทางเลือกทางธุรกิจ เช่น การนำกิจกรรมใหม่ และการปรับปรุงกระบวนการผลิตสำหรับอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง เป็นต้น
องค์ประกอบพื้นฐานของระบบสารสนเทศ คือ การเก็บข้อมูลดิบจากการปฏิบัติงานของกระบวนการต่างๆ การประมวลผลและการแปลงข้อมูลดิบเป็นข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ได้ง่าย เช่น ดัชนี้ชี้วัดค่าต่างๆ และการรายงานข้อมูล รวมถึงใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านั้นในการตัดสินใจ เช่น การตรวจสอบประสิทธิภาพและการปรับปรุงกระบวนการผลิต เป็นต้น
องค์ประกอบที่สำคัญของการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ บุคลากร ขั้นตอนการประยุกต์ใช้ระบบ และเครื่องมือ (ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์) โดยมีบุคลากรเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดเนื่องจากวัตถุประสงค์และประโยชน์ ทั้งหมดของการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศจะเกิดขึ้นจากบุคลากรที่มีความเข้าใจ ซึ่งจะเป็นผู้ที่ควบคุมกระบวนการของระบบสารสนเทศ รวมไปถึงข้อมูลและเครื่องมือต่างๆ
จากแนวโน้มทางการตลาดส่งผลให้โรงงานต้องพัฒนา คุณภาพของสินค้าและบริการ ในขณะเดียวกันสินค้าที่ผลิตได้ต้องใช้ต้นทุนต่ำ ดังนั้น การพัฒนาประสิทธิภาพเชิงเศรษฐนิเวศน์ ด้วยการส่งเสริมการปรับปรุงรูปแบบผลิตภัณฑ์ การปรับปรุงการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม และ การลดการเกิดของเสียและมลพิษ สามารถเพิ่มความต้องการทางด้านการตลาดไปพร้อมกับการกระตุ้นการแข่งขันทาง ธุรกิจ ดังนั้น การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศจะเป็นการช่วยสนับสนุนการตัดสินใจในระดับ ผู้บริหารเพื่อการพัฒนาประสิทธิภาพเชิงเศรษฐนิเวศน์และเพิ่มความสามารถทาง การแข่งขันทางธุรกิจ
[ที่มา สมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย]
[ที่มา สมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย]

ในสภาพการแข่งขันทางธุรกิจในปัจจุบัน ภาคเอกชนโดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้ผลิตผลทางการเกษตรเป็นวัตถุดิบจำเป็นต้อง มีการปรับตัวให้สามารถแข่งขันได้ทั้งตลาดภายในและภายนอกประเทศ การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการพัฒนาประสิทธิภาพเชิงเศรษฐนิเวศน์เป็น แนวทางหนึ่ง ที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังสามารถประเมินประสิทธิภาพกระบวนการ ผลิตเพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุของการสูญเสีย และเพื่อทำการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มีการใช้วัตถุดิบและพลังงานที่เหมาะสม ลดการสูญเสีย อันจะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง ในขณะที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไปด้วยพร้อมกัน ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทยเป็นไปในทิศทางการพัฒนาที่ ยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ในปัจจุบันกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้เแนะนำการประยุกต์ใช้หลักการณ์ดัง กล่าวในโรงงานนำร่องสำหรับอุตสาหกรรมแป้งมันจำนวนประมาณ 10 โรงงาน ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับจากการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศในอุตสาหกรรมแป้งมัน สำปะหลัง สามารถสรุปได้ดังนี้
[ที่มา สมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย]
- อุตสาหกรรมผลิตแป้งมันสำปะหลังสามารถรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลและแปลงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพเชิงเศรษฐนิเวศน์ ให้เป็นข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจ
- ฝ่ายบริหารของโรงงานสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงการเปรียบเทียบภายในโรงงานและเปรียบเทียบกับโรงงานอื่นๆ (Internal or Industrial Benchmarking) และใช้ในการเปรียบเทียบทางเลือกด้านต่างๆ เช่น การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต และการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ
- ช่วยกระตุ้นการลดต้นทุนและเพิ่มรายได้จากการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้วัตถุดิบ ทรัพยากร และพลังงาน
- ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของสินค้า ด้วยความพยายามทางด้านการตลาดและการสื่อสาร
- ช่วยปรับปรุงการดำเนินการทางด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ใหม่ และการลดการปล่อยมลสารออกสู่สิ่งแวดล้อม
[ที่มา สมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย]

มาตรฐาน% แป้งในกากมันสำปะหลัง ยังไม่ได้ถูกกำหนดแต่ จากข้อมูลที่ทางสำนักงานความร่วมมือทางวิชาการของเยอรมันร่วมกับมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีได้ดำเนินกิจกรรม Benchmarking ในอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังนั้น พบว่าค่า Median อยู่ที่ 25.3 กก.แป้ง/ตัน กากสด โดยค่าที่โรงงานที่ทำได้ดีสุดอยู่ที่ 15 กก.แป้ง/ตัน กากสด และที่มากสุด อยู่ที่ 41 กก.แป้ง/ตัน กากสด
หมายเหตุ : ทั้งนี้การวัดนั้นใช้วิธีแบบง่ายๆ (ที่โรงงานทั่วไปกระทำในการหาแป้งในกาก) คือการนำกากมันสดมาปั่นกับน้ำ(เช่น อัตราส่วนกาก 50 กรัม น้ำ 1 ลิตร) แล้วทำการกรองด้วยผ้ากรอง(ผ้ากรองที่เครื่อง turbo) ขนาด150 mesh เพื่อกรองกากและกากอ่อนออก แล้วนำน้ำที่ผ่านการกรอง ไปอบแห้ง ของแข็งที่เหลืออยู่ นำมาคำนวณเป็นแป้งในกาก
[ผู้ตอบ: ดร.อรรณพ นพรัตน์ / มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี]
หมายเหตุ : ทั้งนี้การวัดนั้นใช้วิธีแบบง่ายๆ (ที่โรงงานทั่วไปกระทำในการหาแป้งในกาก) คือการนำกากมันสดมาปั่นกับน้ำ(เช่น อัตราส่วนกาก 50 กรัม น้ำ 1 ลิตร) แล้วทำการกรองด้วยผ้ากรอง(ผ้ากรองที่เครื่อง turbo) ขนาด150 mesh เพื่อกรองกากและกากอ่อนออก แล้วนำน้ำที่ผ่านการกรอง ไปอบแห้ง ของแข็งที่เหลืออยู่ นำมาคำนวณเป็นแป้งในกาก
[ผู้ตอบ: ดร.อรรณพ นพรัตน์ / มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น